วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประวัติปัตตานี

ประวัติศาสตร์ปัตตานีดารุสสลาม


คำว่า “ปัตตานี ดารุสสลาม” (فطانى د ارالسلام) ซึ่งมีความหมายว่า “ปัตตานี นครรัฐแห่งสันติภาพ” ได้ถูกเรียกขานภายหลังการเข้ารับอิสลามของสุลต่าน อิสมาอีล ชาห์ ซิลลุลลอฮฺ ฟิลอาลัม (เดิมคือ พญา ตู นักปา อินทิรา มหาวังสา) ในราวปีค.ศ.1457 (Cheman 1990 p.34) โดยมีชีค ซาอีด ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาอิสลามเข้าสู่ราชสำนักของปัตตานีเป็นผู้ตั้งชื่อ (อารีฟีน บินจิและคณะ ; “ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู” (2550) หน้า 63) ในชั้นหลังมีการเรียกดินแดนปัตตานีว่า “ปัตตานี ดารุ้ลมะอาริฟ” หมายถึง “ปัตตานี นครรัฐแห่งสรรพวิทยา” อีกเช่นกัน


ประวัติศาสตร์ “ปัตตานี ดารุสสลาม” ถือเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าสำหรับชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูเป็นการเฉพาะและถือเป็นส่วนหนึ่งจากประวัติศาสตร์ของชาติสำหรับพลเมืองของประเทศโดยรวม ในช่วงหลัง ๆ มานี้มีการรวบรวมและวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของปัตตานี ดารุสสลามกันอย่างคึกคักโดยเฉพาะในแวดวงนักวิชาการผู้สันทัดกรณีและผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในบทความนี้จะมุ่งวิเคราะห์และตั้งข้อสังเกตต่อข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ปัตตานีดารุสสลามในเชิงรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์อิสลามเป็นหลัก
เนื่องจากมีการนำเอาเหตุการณ์ในอดีตซึ่งโดยมากจะเกี่ยวพันกับสงครามประเพณีระหว่างสยาม-ปัตตานีมาอ้างเพื่อปลุกระดมผู้คนในท้องที่ให้เกิดความรู้สึกร่วมในการฟื้นฟูปัตตานีดารุสสลามในฐานะรัฐเอกราชที่เคยรุ่งเรืองและเป็นเกียรติภูมิสำหรับชาวมุสลิมเชื้อสายมลายู และตอกย้ำความทารุณโหดร้ายที่ชาวมุสลิมมลายูได้รับจากสยามในฐานะผู้รุกรานและผู้ทำลายนครรัฐที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรมลายู มัสยิดปินตูกืรบัง (กรือแซะ) พระราชวังอิสตานะฮฺนีลัม และบ้านเรือนของราษฎรถูกเผาทำลาย ลูกหลานสุลต่าน วงศานุวงศ์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่และประชาชนหลายพันคนถูกกวาดต้อนเป็นเชลย (อ้างแล้ว หน้า 150)

สงครามและความพ่ายแพ้ที่ชาวมลายูปัตตานีประสบได้สร้างความรู้สึกเจ็บปวด เคียดแค้นและชิงชังสยามตราบจนทุกวันนี้ การปลุกความรู้สึก (สมางัต) โดยอ้างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และความเจ็บปวดที่บรรพบุรุษของชาวมลายูปัตตานีได้รับจึงสอดรับกับคติชาติพันธุ์นิยมอย่างลงตัวและมีผลทำให้ความคิด ความเชื่อ และความเข้าใจของผู้ที่ถูกปลุกระดมมีความซับซ้อนและฝังลึกมากยิ่งขึ้น ทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงมิใช่สิ่งที่ผู้คนรับรู้กันโดยผิวเผิน หากแต่เป็นมายาคติที่ถูกตอกย้ำอยู่ตลอดเวลาและเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น ทั้งในรูปของมุขปาฐะที่สืบสานจากรุ่นสู่รุ่นและการเขียนตำรับตำราอิงประวัติศาสตร์ตลอดจนการถ่ายทอดผ่านการบรรยาย อภิปราย หรือแม้กระทั่งการสัมมนาในหลาย ๆ โอกาส

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์นั้นย่อมเป็นข้อมูลดิบที่ผู้คนในยุคหลังสามารถวิเคราะห์และสืบค้นเพื่อเพิ่มเติมมิติและแง่มุมต่าง ๆ ที่อาจจะถูกละเอาไว้ได้เสมอ


ปัตตานีเป็นรัฐอิสลาม

ก่อนหน้าที่ศาสนาอิสลามจะเผยแผ่เข้ามายังปัตตานีนั้นพลเมืองและราชสำนักของปัตตานีถือในศาสนาฮินดู-พราหมณ์และศาสนาพุทธนิกายมหายาน (ตารีคปาตานี น.4-5) โดยมีชาวอินเดียเป็นผู้นำเข้ามาเผยแผ่ ต่อมาภายหลังเมื่อศาสนาอิสลามเผยแผ่เข้ามายังปัตตานี พลเมืองมลายูจึงเข้ารับอิสลาม ทำให้ในดินแดนปัตตานีมีทั้งมลายูมุสลิม และมลายูพุทธ ศาสนาอิสลามเป็นที่ยอมรับของชาวมลายู มาก่อนหน้าการเข้ารับอิสลามของราชสำนักปัตตานีเป็นเวลาหลายร้อยปี ครั้นถึงราวปีค.ศ.1457 พญาตู นักปา อินทิรา มหาวังสาและเหล่าบรรดาอำมาตย์มนตรี แม่ทัพนายกอง รวมถึงพระโอรสและพระธิดาก็เข้ารับอิสลามอย่างเป็นทางการด้วยการเชิญชวนของชัยค์ ซาอีด
ปัตตานีจึงกลายเป็นรัฐอิสลามนับแต่บัดนั้น โดยถูกเรียกขานว่า “ปาตานี ดารุสสลาม” มีการรับรูปแบบการปกครองของอิสลามมาใช้ในการปกครองบ้านเมือง โดยถือเอาคัมภีร์อัลกุรอ่าน เป็นธรรมนูญการปกครอง และอัลฮะดีษ เป็นแนวปฏิบัติในวิถีชีวิต มีผู้รู้ในศาสนาอิสลามเป็นที่ปรึกษาทางศาสนาและกฎหมายชะรีอะฮฺ ในส่วนของชัยค์ ซาอีดนั้นนักวิชาการบางท่านเรียกตำแหน่งของท่านว่า “ชัยคุลอิสลาม” ทำหน้าที่ตีความ (FATWA) ปัญหาทางศาสนาอิสลามในราชอาณาจักรปาตานีอีกด้วย (ปาตานี ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู ; อารีฟีน บินจิและคณะ หน้า 63,64,66)

การที่ปัตตานีเปลี่ยนสภาพจากรัฐพราหมณ์-พุทธมาเป็นรัฐอิสลามนี้คงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับการเปลี่ยนสภาพของรัฐมลายูอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ อาทิเช่น รัฐมลายูในอาเจะห์ , สุมาตรา , ชวา , กลันตัน , ตรังกานู , มะละกาและปาหัง เป็นต้น ทั้งนี้รัฐมลายูเหล่านี้ได้เปลี่ยนสภาพจากรัฐพราหมณ์-พุทธมาเป็นรัฐอิสลามด้วยลักษณะและวิธีการคล้าย ๆ กัน หากรัฐปัตตานีเป็นรัฐอิสลามด้วยการเผยแผ่ของผู้รู้ทางศาสนาอิสลามและการยอมรับของพลเมืองมลายูและราชสำนัก รัฐมลายูอื่น ๆ ก็เช่นกัน แต่ทว่าทั้งหมดได้เปลี่ยนสภาพเป็นรัฐอิสลาม บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงเลยหรือไม่?
กล่าวคือ เป็นรัฐอิสลามทั้งภาพลักษณ์ภายนอก โครงสร้างระบอบการปกครอง และจิตวิญญาณ หรือเป็นรัฐของชาวมลายูมุสลิมที่ยังคงมีอิทธิพลของวัฒนธรรมและความเชื่อแบบมลายูโบราณฝังรากหยั่งลึกอยู่ ซึ่งบางทีวัฒนธรรมและความเชื่อดังกล่าว อาจจะเป็นผลพวงจากการรับเอาคติความเชื่อฝ่ายพราหมณ์-พุทธที่มีอิทธิพลเข้มข้นมาก่อนในภูมิภาคนี้ ทั้งในส่วนของนุสันตารา (อินโดนีเซีย) และคาบสมุทรมลายู ถึงแม้ว่าศาสนาอิสลามได้เข้าไปแทนที่ศาสนาพุทธในราชสำนักแล้ว และมีผลทำให้โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของปัตตานีโดยภาพรวม ๆ ค่อย ๆ กลายสภาพจากความเป็นสังคมมลายูที่แฝงด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมผสมชวาและฮินดู-พุทธ มาเป็นสังคมมลายูที่ยึดเกาะกับวัฒนธรรมอิสลามมากขึ้นก็ตาม (รัฐปัตตานีในศรีวิชัย ; สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ , สำนักพิมพ์มติชน (2547) หน้า 243)
และในรัชสมัยของสุลต่านอิสมาอีล ชาห์ซึ่งศาสนาอิสลามได้เจริญรุ่งเรืองและแผ่กระจายไปทั่วราชอาณาจักรของพระองค์และอาณาจักรอื่น ๆ ในแหลมมลายู ชัยค์ ซาอีดซึ่งเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาอิสลามเข้าสู่ราชสำนักและเรียกขานดินแดนนี้ว่า ปัตตานี ดารุสสลาม ก็ยังคงพักอาศัยอยู่ใน “เบียรอ” (วิหาร) เพราะขณะนั้นคนที่นับถือศาสนาอิสลามยังมีไม่มากนัก คนทั่วไปยังคงนับถือศาสนาฮินดู-พุทธและยังไม่มีการสร้างมัสยิดขึ้นแต่อย่างใด (ดูรายละเอียดใน “ปาตานีประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู” อ้างแล้ว หน้า 66,73) การสร้างมัสยิดแห่งแรกเกิดขึ้นในรัชสมัย สุลต่านมุศ็อฟฟัร ชาห์ ตามคำแนะนำของเชค ซอฟียุดดีน ซึ่งระบุว่า : “รัฐอิสลามนั้น ต้องมีมัสยิดสักแห่งหนึ่ง เพื่อให้ราษฎรใช้เป็นสถานที่สักการะพระผู้เป็นเจ้า อัลลอฮฺ ตะอาลา หากไม่มีมัสยิดก็จะไม่เห็นความเป็นรัฐอิสลาม” (อ้างแล้ว หน้า 73, และ A.Teeuw & D.K.Wyat p.78)

การเป็นรัฐอิสลามของปัตตานีดารุสสลามจึงมิได้เกิดขึ้นแบบเบ็ดเสร็จและสมบูรณ์นับแต่การเข้ารับอิสลามของปฐมกษัตริย์แห่งศรีมหาวังสา (ซุลต่าน อิสมาอีล ชาฮฺ) อย่างที่เข้าใจ แต่ค่อย ๆ มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นรัฐอิสลามอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรื่องราวของพ่อค้าชาวเมืองมินังกาเบาจากเกาะสุมาตรา คือ ชีค ก็อมบ็อก กับลูกศิษย์ที่ชื่อ อับดุลมุบีน ลักลอบขายทองเหลืองให้กับพ่อค้าชาวมะละกา จนเป็นเหตุให้ถูกประหารชีวิต เนื่องจากกระทำผิดต่อคำประกาศของสุลต่าน อิสมาอีล ชาห์ และถูกนำศพไปทิ้งในแม่น้ำยะหริ่ง โดยห้ามมิให้ฝังศพบุคคลทั้งสองบนแผ่นดินปัตตานี (อ้างแล้ว หน้า 70/รัฐปัตตานีในศรีวิชัย หน้า 340) ก็ถือเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความน่ากังขาว่า

ปัตตานีดารุสสลาม เมื่อแรกเป็นรัฐอิสลามนั้น ถือรูปแบบการปกครองของอิสลามมาใช้ในการปกครองบ้านเมืองและตัดสินคดีความตามกฎหมายชะรีอะฮฺจริงจังหรือไม่? เพราะบุคคลทั้งสองที่ถูกประหารชีวิตนั้นถึงแม้จะกระทำผิดต่อคำประกาศของสุลต่าน แต่ก็เป็นมุสลิม เมื่อถูกประหารชีวิตแล้วก็น่าจะจัดการศพของบุคคลทั้งสองตามกฎหมายชะรีอะฮฺและที่สำคัญในเวลานั้น ชัยค์ ชะอีด ซึ่งมีตำแหน่ง “ชัยคุลอิสลาม” ตามที่มีนักวิชาการบางท่านระบุ (พีรยศ ราฮีมมูลา “อิสลามศาสนาแห่งสันติภาพ” บรรยายที่มอ.ปัตตานี 16 สิงหาคม 2546) ก็ยังคงมีชีวิตอยู่และมีตำแหน่งรับผิดชอบในการตีความ ฟัตวา ปัญหาทางศาสนาอิสลามในราชอาณาจักรปัตตานี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ขัดกับข้อความที่ระบุในทำนองว่า ปัตตานี ดารุสสลามเป็นรัฐอิสลามที่บังคับใช้กฎหมายชะรีอะฮฺ และมีนักปราชญ์เป็นที่ปรึกษาทางศาสนาแก่สุลต่านโดยมีตำแหน่งเป็นถึง “ชัยคุลอิสลาม” เลยทีเดียว (อ้างแล้ว หน้า 66)

ในรัชสมัยสุลต่าน มันโซร ชาห์ แห่งราชวงศ์ศรีมหาวังสา พระองค์ทรงสูญเสียพระธิดาองค์เล็ก ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อ 5 พระชันษาเท่านั้น พระองค์รับสั่งให้ฝังพระศพของพระธิดาไว้ใกล้กับพระราชวัง เสาหลักที่หลุมศพประดับด้วยทองคำ และมีโองการมิให้ประชาชนพลเมืองใช้ครกตำข้าวเป็นเวลานาน 40 วัน เนื่องจากพระองค์มีความเชื่อว่าการใช้ครกตำข้าวจะทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน รบกวนพระศพของพระธิดาอันเป็นที่รักของพระองค์ทำให้ประชาชนต้องหยุดตำข้าว หากมีความจำเป็นก็ต้องไปให้ห่างจากวังหลวงจนไปถึงบ้านสุไหงปาแน (บริเวณบ้านบานาในปัจจุบัน) (อ้างแล้ว หน้า 77) ความเชื่อเช่นนี้ตลอดจนการประดับเสาหลักที่คลุมศพด้วยทองคำเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลาม ทั้ง ๆ ที่ในรัชสมัยของสุลต่านมุศอฟฟัร ชาห์ ท่านดาโต๊ะ ราชาศรี ฟากิฮฺ (Raja Seri Faqih) หรือชัยค์ ซอฟียุดดีน เป็นผู้ทำหน้าที่ปรึกษาศาสนาอิสลามในราชสำนัก (อ้างแล้ว หน้า 73)
ซึ่งถ้าหากท่านชัยค์ ซ่อฟียุดดีนสิ้นชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีบุตรชายของท่านนามว่า วันมุฮำหมัด ทำหน้าที่เป็นครูสอนศาสนาให้แก่ราชา มันโซร พระอนุชาของสุลต่าน (A.Malek p.38) รวมถึงท่านวัน ญาฮารุลลอฮฺซึ่งเป็นหลานของดาโต๊ะ ราชา ศรีฟากิฮฺ และเป็นพระพี่เลี้ยงของพระโอรสและธิดาของสุลต่านมันโซร ชาห์ (อ้างแล้ว หน้า 77) จริงอยู่ที่ความผิดเพี้ยนในเรื่องความเชื่อเดิมอาจจะยังคงมีอิทธิพลหลงเหลืออยู่ในปัตตานีดารุสสลาม เพราะในขณะนั้นยังถือว่าปัตตานีดารุสสลามเป็นรัฐอิสลามที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในคาบสมุทรมลายู แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าปัตตานีดารุสสลามในเวลานั้นยังคงมีอิทธิพลของความเชื่อเดิมผสมผสานอยู่ในวัฒนธรรมของชาวมลายู
ประเด็นของการขึ้นครองอำนาจในปัตตานีดารุสสลามของบรรดาสุลตอนะฮฺ (กษัตริยา) นับแต่รัชสมัยราชินีฮิเยา (1584-1616) , ราชินีบีรู (1616-1624) , ราชีนีอูงู (1624-1635) และราชินีกูนิง (1635-1686) ในราชวงศ์ศรีมหาวังสา รวม 4 พระองค์ และราชินีมัสกลันตัน (1960-1707), ราชินี มัสชายัม (1707-1710) และราชินีเดวี (1710-1719) ในรัชสมัยหลังรวมปัตตานีดารุสสลามมีราชินีเป็นผู้ปกครองสูงสุด 7 พระองค์ ก็ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับประเด็นที่ว่า ปัตตานีดารุสสลามใช้ระบอบอิสลามและกฎหมายชะรีอะฮฺในการปกครองตามที่ระบุข้างต้น ทั้งนี้นักวิชาการได้กำหนดเงื่อนไขของประมุขสูงสุด (إمام أعظم) ของรัฐอิสลามว่าต้องเป็นเพศชาย (الذكورة) โดยมติเอกฉันท์ (الإجماع) (อัลฟิกฮุ้ลอิสลามีย์ ว่า อะดิลละตุฮฺ ; ดร.วะฮะบะฮฺ อัซซุฮัยลีย์ ; สำนักพิมพ์ ดารุ้ลฟิกรี่ ดามัสกัส (1984) เล่มที่ 6 หน้า 693)
เหตุที่มีราชินีหลายองค์ปกครองปัตตานีดารุสสลามนั้นเนื่องจากมีการฆาตรกรรมระหว่างพี่น้องที่เกิดขึ้นภายในพระราชวังปัตตานีถึง 2 ครั้งทำให้พระโอรสสิ้นพระชนม์ถึง 4 พระองค์ คือ สุลต่านปาติกสยาม, ราชาบัมบัง , สุลต่านบะฮาดุรและราชาบีมา ดังนั้นบรรดาขุนนางจึงได้ประชุมหารือเพื่อเลือกสรรผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองปัตตานีต่อไป เมื่อไม่มีพระโอรสจึงพิจารณาเลือกพระธิดา คือ ราชินีฮิเยา ปัตตานีดารุสสลามจึงเป็นอาณาจักรแรกในเอเชียอาคเนย์ที่ผู้ปกครองเป็นสตรี ก่อนจะมีขึ้นในเมืองอาเจะห์ (ปาตานี ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู หน้า 84)
การปกครองรัฐที่มีสตรีเป็นประมุขสูงสุดในฐานะกษัตริยาของปัตตานีดารุสสลาม อาจจะเป็นเรื่องที่อนุโลมได้ในกรณีจำเป็น (الضرورة) เนื่องจากรัฐจำเป็นต้องมีประมุขเป็นผู้ปกครองสูงสุด รูปแบบการปกครองอาจจะไม่ใช่สาระสำคัญ ตราบใดที่หลักศาสนบัญญัติยังถูกบังคับใช้ (อัลฟิกฮุลอิสลามีย์ ว่า อะดิลละตุฮู ; ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซซุฮัยลีย์ เล่มที่ 6/664-665) และการมีประมุขในสภาวะเช่นนี้เป็นกรณียกเว้น (حالة استثناﺌﻴﺔ) และเป็นการป้องกันการหลั่งเลือด (อ้างแล้ว หน้า 682)
อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ของปัตตานีดารุสสลาม กรณีมีประมุขเป็นสตรีหรือกษัตริยาหลายพระองค์ติดต่อกัน ก็ดูจะยาวนานจนเกินความจำเป็นอีกทั้งนักวิชาการก็ระบุว่า นักนิติศาสตร์อิสลามทั้งหมดต่างก็มีมติเป็นเอกฉันท์ (อิจฺญมาอฺ) ว่า ตำแหน่งประมุขสูงสุด (อิมามะฮฺ) จะไม่มีการสืบทอดเป็นมรดก (إن الأمامة لاتورث) (อัลฟัซฺล์ ฟิลมิลัล วันนิฮัล ; อิบนุ ฮัซฺมิน 4/167) ประเด็นเกี่ยวกับเงื่อนไขของประมุขสูงสุดในรัฐอิสลามอาจจะไม่ต้องคำนึงถึงก็ได้ หากผู้นั้นสามารถชิงอำนาจในการปกครองเหนือผู้คนทั้งหลายได้สำเร็จ และการปฏิบัติตามเชื่อฟังประมุขที่ได้อำนาจมาด้วยวิถีทางนี้ก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นตามมา (อ้างแล้ว 6/683) ซึ่งก็พอจะรับฟังได้ในกรณีที่เกิดขึ้นในรัฐปัตตานีดารุสสลาม ทั้งนี้โดยพิจารณาว่าบรรดาเหล่ามนตรี ขุนนาง และแม่ทัพมีสถานะเทียบได้กับสภาที่ปรึกษา (أهل الشورى) ซึ่งมีการประชุมหารือและมีมติในการยกเอาสตรีขึ้นเป็นประมุขสูงสุดในการปกครอง กระนั้นนักวิชาการอิสลามก็ยังกำหนดเงื่อนไขและคุณสมบัติของสภาที่ปรึกษานี้เอาไว้หลายประเด็นอีกเช่นกัน (ดูรายละเอียดในอัลฟิกฮุลอิสลามีย์ ฯ อ้างแล้ว 6/684-687)

การเป็นรัฐอิสลามที่สมบูรณ์ตามระบอบรัฐศาสตร์อิสลามสำหรับกรณีของปัตตานีดารุสสลามจึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาถึงรายละเอียดกันต่อไป และทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความเป็นรัฐอิสลามในเชิงรัฐศาสตร์อิสลามเท่านั้น มิได้มุ่งหักล้างและปฏิเสธข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิงแต่อย่างใด อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการปูทางไปสู่การศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการมากกว่าที่เคยเป็นมา เพราะน้อยนักที่จะพูดถึงกันในประเด็นนี้ ทั้ง ๆ ที่มีความสำคัญอยู่มิใช่น้อยในการยืนยันความเชื่อ ความเข้าใจและความเป็นจริง ที่ระบุถึงปัตตานีดารุสสลามว่าเป็นรัฐอิสลามตามที่เล่าและเขียนสืบกันมาว่าเป็นจริงมากน้อยเพียงใด

วัลลอฮุอะอฺลัม

แหลมตาชี

"แหลมตาชี" มหัศจรรย์ปลายด้ามขวานทอง

"ในวันที่ท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆหมอกมาบัง สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ดวงโตโผล่จากใต้ท้องทะเลขึ้นมาตัดเส้นขอบฟ้ากว้าง และตกลงอีกฝั่งในยามเย็น โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายไปไหน"



"ที่นี่คือ " แหลมตาชี " หรือที่ชาวบ้านเรียกอีกชื่อว่า แหลมโพธิ์ตั้งอยู่ใน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี แผ่นดินที่ทอดยาวมาจากหาดตะโละกาโปร์คู่ขนานโอบล้อมอ่าวปัตตานีไปจนสุดปลายปลายแหลม ปัจจุบันมีแผ่นดินซึ่งเป็นหาดทรายขาวสะอาดงอกเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำทะเลในอ่าวไทยปัจจุบันจังหวัดปัตตานีได้มีแนวคิดที่จะพัฒนาเป็นแหลมตาชีแห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่และต่างถิ่น ให้เข้ามาเยี่ยมชมเป็นการต่อยอดจากสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอยู่เดิม เช่น ศาลเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว วัดช้างให้ น้ำตกทรายขาว เป็นต้น"



"สิ่งหนึ่งซึ่งหลายคนมีความกังวลคือเรื่องการเดินทางเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบ ที่ยังเกิดขึ้นตามเส้นทางเดิมคือจากตัวอำเภอยะหริ่งข้ามคลองยามูเข้ามา ผ่านหาดตะโละกาโปร์สู่แหลมตาชีระยะทางประมาณ 11กม.แม้ปัจจุบันจะมีรีสอร์ทและบ้านพักตากอากาศขึ้นอยุ่เรียงรายตลอดเส้นทาง แต่ก็มีเฉพาะนักท่องเที่ยวภายในถิ่นเสียเป็นส่วนใหญ่ การเดินทางด้วยทางเรือจากปากแม่น้ำปัตตานีจึงเป็นทางเลือกใหม่เพราะ สามารถตัดตรงเข้าสู่แหลมตาชีได้เลยระยะทางและเวลา และที่สำคัญไม่ต้องไปกังวลในเรื่องความปลอดภัยจากสองข้างถนน"


  ซึ่งในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ จังหวัดปัตตานี ได้จัดกิจกรรม "แสงแรกฟ้าที่แหลมตาชี"
งานนี้น่าสนใจ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ เป็นชีวิตจิตใจ ไม่ควรพลาดน่าจะไปเก็บความรู้สึกดีๆสุดปลายแหลม ไว้ในเมมโมรี่การ์ดสักครั้งในชีวิต ตลอดจนนักเดินนักวิ่งที่นิยมออกกำลังกายรับแสงเช้าชายทะเลก็ไม่ความพลาดเช่นกัน

"บอกแล้วว่าชายแดนใต้มีอะไรดีๆอีกมากมาย
ที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบของความรุนแรง
อย่าเชื่อ หากยังไม่มาพิสูจน์ด้วยตาของตนเอง"









วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

อุทยานน้ำตกทรายขาว

ประวัติความเป็นมา



          อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว เดิมชาวบ้านเรียกว่า น้ำตกกระโถน ถูกค้นพบเมื่อประมาณปี พ.ศ.2475 โดยพระครูศรีรัตนกร(ท่านศรีแก้ว) อดีตเจ้าอาวาสวัดทรายขาว ท่านได้ชักชวนราษฎรทำการปรับปรุงบริเวณน้ำตกทรายขาว และต่อมาน้ำตกแห่งนี้ได้พัฒนามาเป็นลำดับ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานป่าไม้เขตปัตตานี (กรมป่าไม้)ปี พ.ศ.2530 กรมป่าไม้ให้เจ้าหน้าที่ไปดำเนินการสำรวจพื้นที่ และจัดตั้ง ป่าเขาใหญ่ และ ป่าเทือกเขาสันกาลาคีรี เพื่อเตรียมประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ และวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เพื่อการศึกษาวิจัย และเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจแก่ประชาชนโดยทั่วไปต่อมาได้มีมติเห็นชอบจากคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ให้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งน้ำตกทรายขาว เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2533





และในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2536 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติการดำเนินการสำรวจจัดตั้งได้ผ่านขั้นตอนเตรียมการมาเป็นลำดับ จนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติโดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้จัดพิมพ์แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเพื่อจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แต่ในเดือนมกราคม พ.ศ.2541 ได้มีราษฎรในท้องที่ตำบลลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ชุมนุมคัดค้านการประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว




จากลำดับเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นทำให้อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาวต้องปรับปรุงการบริหารจัดการโดยศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่างๆ อาทิ สถานภาพและศักยภาพของพื้นที่ วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของราษฎรในท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อนำมาประกอบในการพิจารณาจัดทำแนวเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาวใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อราษฎร และสิ่งที่สำคัญ คือ การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว จะต้องสามารถรักษาความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งเป็นที่ยอมรับและเกิดความร่วมมือ จากประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบอุทยานแห่งชาติปัจจุบันพื้นที่ป่าได้ทำการสำรวจขึ้นใหม่ ไม่มีปัญหากับราษฎร เนื่องจากได้กันพื้นที่ทำกินของราษฎรออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาวที่ทำการสำรวจจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติฯ และราษฎรที่อาศัยอยู่รอบๆ บริเวณ ได้ตรวจสอบกำหนดเขตด้วยโดยได้ผ่านการเห็นชอบจากองค์การบริหารส่วนตำบลที่เกี่ยวข้องรวม 10 แห่ง และผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำลายทรัพยากรป่าไม้ประจำจังหวัดที่เกี่ยวข้องรวม 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และสงขลา และผ่านการพิจารณาของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ


อาณาเขต
ทิศเหนือ จรดกับ ต.ช้างให้ตก ต.ทรายขาว และ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
ทิศตะวันตก จรดกับ ต.ทุ่งพลา ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา
ทิศตะวันตก จรดกับ ต.ช้างให้ตก อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และ ต.บ้านโหนด ต.เปียน ต.ธารคีรี อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
ทิศใต้ จรดกับ ต.ตาชี อ.ยะหา จ.ยะลา


ลักษณะภูมิประเทศ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ตั้งอยู่ในพื้นที่เทือกเขาสำคัญ คือ เทือกเขาสันกาลาคีรี ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนติดต่อทอดตัวกันเป็นแนวยาวแผ่ขยายออกไปทางทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศตะวันออก มียอดเขาที่สูงที่สุด เรียกว่า ยอดเขาสันกาลาคีรี(ยอดเขานางจันทร์) โดยมีความสูงประมาณ 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล พื้นที่บางส่วนเป็นที่ลาดเชิงเขา และที่ราบเนินเขา มีสันเขาเป็นแนวยาวเป็นเส้นแบ่งเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา และ สงขลา เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำปัตตานี และ แม่น้ำเทพา

ลักษณะภูมิอากาศ
ภูมิอากาศร้อน เนื่่องจากได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับพื้นที่ที่ตั้งของ อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาวมีความชื้นมาก จึงมีฝนตกชุก และอากาศเย็นสบายตลอดปี อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 25.5-28 องศาเซลเซียสปริมาณฝนที่ตกมากที่สุด อยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน และธันวาคมของทุกปี

ลักษณะทางธรณีวิทยา
ดิน โดยทั่วไปเป็นดินเหนียวปนทราย และมีเปอร์เซ็นของทรายสูง
หิน หินส่วนใหญ่จะเป็นหินปูน และหินแกรนิต




จีงได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเขาใหญ่ในท้องที่ตำบลช้างให้ตก ตำบลทรายขาว ตำบลนาประดู่ ตำบลทุ่งพลา ตำบลปากล่อ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ตำบลลำพะยา อำเภอเมืองยะลา ตำบลตาชี อำเภอยะหา จังหวัดยะลา และ ป่าเทือกเขาสันกาลาคีรี ให้ท้องที่ตำบลบ้านโหนด ตำบลเปียน ตำบลธารคีรี อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ.2551 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนที่ 71ก ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่ 110 ของประเทศไทย






















































































วังยะหริ่ง

วังยะหริ่ง ความหลังของเมืองปัตตานี ดีใจที่ได้มาเยือน


วังยะหริ่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี  เป็นวังเก่ายะหริ่งถูกสร้างขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ในรัชสมัยของราชการที่ ๕  สร้างขึ้นโดยพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม เจ้าประเทศราชเมืองยะหริ่ง อันดับ ๓


       
         ซึ่งเป็นบุตรของพระยาพิบูลเสนานุกิจพิเชษฐ์ภักดี พระยาเมืองยะหริ่งอันดับที่ ๒ และพระยาเมืองอันดับแรกคือ "ท่านนิโซ๊ะ”หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "โต๊ะกี”

          ลักษณะรูปทรงของวังเป็นอาคาร ๒ ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้  แบบเรือนไทยมุสลิมผสมกับแบบบ้านแถบยุโรป ตัววังเป็นรูปตัวยู (U) ชั้นบนภายในอาคาร จัดเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ด้านข้างของตัวอาคารทั้ง ๒ ด้าน เป็นห้องสำหรับพักผ่อนของเจ้าเมืองและบุตรธิดาข้างละ ๔ ห้อง ชั้นล่างเป็นลานโล่งแบบใต้ถุนบ้าน
          ลักษณะเด่นของบ้านคือ บันไดโค้งแบบยุโรป ช่องแสงประดับด้วยกระจกสีเขียว แดง และน้ำเงิน ช่องระบายอากาศและหน้าจั่วทำด้วยไม้ ฉลุเป็นลวดลายพรรณพฤกษา ตาม แบบศิลปะชวา และผสมผสานกับศิลปะแบบตะวันตก ทำให้ตัววังมีสง่างามมาก


          ในปัจจุบันวังยะหริ่งได้รับ การดูแลจากเจ้าของวังเป็นอย่างดี โดยมีการบูรณะครั้งหลังสุดเป็นปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ภายในตัววังยะหริ่ง นอกจากจะมีเอกลักษณ์ทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานอย่างลงตัวแล้ว ยังเต็มไปด้วยหลักฐานและเรื่องราวที่ประวัติศาสตร์มากมายที่บรรพชนได้เก็บและรวบรวมเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และศึกษาความเป็นมาของเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เครื่องโถ ถ้วยชาม ภาพเขียน ภาพถ่ายประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีและเมืองยะหริ่ง ที่นับวันจะยิ่งหาชมได้ยาก


          วังแห่งนี้มีอายุยาวนานนับร้อยปี แต่วัตถุและหลักฐานของเรื่องราวตั้งแต่ยุคคุณทวดทุกอย่างยังถูกรวบรวมและจัดวางไว้เหมือนกับในอดีตทุกกระเบียดนิ้ว ทำให้ผู้คนที่นี่ยังรู้สึกว่าวังยะหริ่งไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้เวลาจะเปลี่ยนผ่านไปนานสักแค่ไหนก็ตาม ภาพเขียนสีน้ำมันของบรรพบุรุษต้นตระกูลเจ้าเมืองยะหริ่งถูกเก็บและแขวนไว้อย่างดีบนชั้นสองของตัววัง วังยะหริ่ง สร้างประมาณ พ.ศ.๒๔๓๘ ตอนปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โดยผู้สร้างคือพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรคาม เจ้าประเทศราชเมืองยะหริ่ง อันดับ ๓ ซึ่งเป็นบุตรของพระยาพิบูลเสนานุกิจพิเชษฐ์ภักดี พระยาเมืองยะหริ่งอันดับที่ ๒ และพระยาเมืองอันดับแรกคือ "ท่านนิโซ๊ะ”หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "โต๊ะกี” ยะหริ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองปัตตานีซึ่งเป็นประเทศราชของไทย ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการด้วย "ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง”ให้แก่ไทย ๓ ปีต่อ ๑ ครั้ง ต้องส่งทหาร(กองทัพ)ไปช่วยรบ

          รูปแบบการปกครองดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองปัตตานีกับไทย เป็นไปอย่างห่างเหิน เนื่องจากความห่างไกลจากราชธานี ประกอบกับความเข้มแข็งทางการเมืองและเศรษฐกิจส่งผลให้เจ้าเมืองต่างๆ คิดแยกตัวจากไทยอยู่เสมอ จึงมีการส่งกำลังจากพระนครลงมาปราบปรามอยู่หลายครั้ง กระทั่งนำไปสู่การใช้นโยบายแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง

           เริ่มจากท่านนิโซ๊ะ หรือโต๊ะกียูโซ๊ะ ซึ่งเป็นพระยายะหริ่งคนที่ ๑ มีประวัติเล่าต่อกันมาว่าเมื่อเกิดกบฏที่ปัตตานี ท่านนิโซ๊ะมีอายุเพียง ๖ ขวบได้วิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็กในค่ายทหารที่มาตั้งฐานเพื่อปราบกบฏจึงเกิดความสนใจในการรบทัพจับศึกและได้แอบติดตามคณะกลับพระนคร และได้รับการอุปถัมภ์จากนายทหารท่านหนึ่งจนเมื่อเติบใหญ่มีโอกาสได้รับราชการอยู่ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

          กระทั่งเมื่อเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หัวเมืองปักษ์ใต้เกิดความวุ่นวาย และมีการสืบทราบว่า "ท่านนิโซ๊ะ”มีเชื้อสายพระยาเมืองปัตตานี พระนครจึงแต่งตั้งให้รับสัญญาบัตรเป็น "พระยาเมืองยะหริ่ง” เมื่อมาปกครองเมืองได้พยายามจัดระเบียบในการปกครองให้เป็นแบบไทย เช่นคดีถ้อยความที่ต้องตัดสินหรือปรับไหม โดยให้สอดคล้องตามคัมภีร์อัลกุรอ่านและเป็นไปตามพระราชกำหนดกฎหมายไทย


          จนเป็นแบบอย่างให้เมืองปัตตานีและเมืองรามัน และถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ท่านนิโซ๊ะ มีบุตรธิดาด้วยกัน ๗ คน ปัจจุบันกุโบร์ (ที่ฝังศพ)อยู่ที่ตำบลตันหยงลูโละ บริเวณฝั่งตรงข้ามกับมัสยิดกรือเซะ พระยายะหริ่ง คนต่อมาคือท่านนิเมาะ เป็นบุตรคนที่ ๒ ของท่านนิโซ๊ะ ได้รับพระราชทานทินนามเป็น "พระยาพิบูลเสนานุกิจพิชิตเชษฐภักดี” ต้นตระกูล "อับดุลบุตร”มีบุตรธิดารวม ๑๔ คน เมื่อพระยาพิบูลเสนานุกิจพิชิตเชษฐภักดี ถึงแก่อสัญกรรม บุตรคนที่๒ คือ "ท่านนิโวะ”ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยายะหริ่งคนต่อมามีราชทินนามว่า "พระยาพิพิธเสนามมาตยาธิบดีศรีสุรคราม

          ซึ่งเป็นผู้สร้างวังยะหริ่งหลังปัจจุบัน ครั้นบ้านเมืองเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูปการปกครองให้เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ทำให้การปกครองแบบหัวเมืองสิ้นสุดลง เช่นเดียวกับตำแหน่งพระยาเมืองยะหริ่งที่สืบตระกูลกันมา หลังจากที่มีการปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล ส่วนกลางได้ส่งข้าหลวงเทศาภิบาลมาบริหารราชการแทนพระยาเมือง แต่ในวังยะหริ่งยังคงมีการสืบทอดทางอำนาจทางการเมืองดังเช่น ในสมัยพระพิพิธภักดี บุตรคนโตของพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรครามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ต่อมาได้ลาออกจากราชการแล้วสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดปัตตานี ผลปรากฏว่าได้รับเลือกรวมแล้ว ๔ สมัย


          "วังยะหริ่ง”เป็นที่รู้จักไปทั่วเมื่อครั้งถูกถ่ายทอดผ่านงานเขียนด้วยฝีมือของ "พนมเทียน” หรือ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ และมีโอกาสโลดแล่นผ่านบทละครทางโทรทัศน์ในเรื่อง "มัสยา”ซึ่งผู้ประพันธ์ได้แรงบันดาลใจและผูกโยงเค้าโครงเรื่องจากการได้สัมผัสกับสถานที่แห่งนี้ "ภาพวันที่นักเขียนนามพนมเทียนเดินทางมาที่วังแห่งนี้ เรายังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เดินตามชายหนุ่มสำรวจทุกมุมของวังอย่างพิศมัยก่อนจะนำทุกอย่างไปถ่ายทอดพร้อมกับสร้างตัวละครเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดในบ้านแห่งนี้ก่อนจะได้พบรักกับนายทหารหนุ่มจากพระนคร

          ใครที่เดินทางมายังวังยะหริ่งแห่งนี้จะเก็บภาพสถานที่อันงดงาม ไว้เป็นที่ระลึกในความทรงจำ เพื่อเก็บไว้ตราตรึงความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนตลอดไป

ที่มา : http://news.muslimthaipost.com/news/24784

หาดตะโละกาโปร์

หาดตะโละกาโปร์ 


    ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีตามทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอยะหริ่ง ข้ามคลองยามูตามสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ ผ่านพื้นที่สวนป่าชายเลนและหมู่บ้านไปจนถึงทางแยกเข้าสู่หาด รวมระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานี เคยประกวดแหล่งท่องเที่ยว 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ได้ที่ 2 ประเภทแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ประจำปี 2529 หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดทรายขาวสะอาดขนานกับชายฝั่งทะเล มีเรือกอและของชาวประมงจอดอยู่เป็นจำนวนมาก หาดทรายแห่งนี้งอกยาวออกไปเรื่อยๆ เพราะเกิดจากกระแสน้ำพัดเอาตะกอนทรายมาทับถมพอกพูน เหมาะแก่การไปนั่งพักผ่อนชมความสวยงาม มีทิวสนและต้นมะพร้าวให้ความร่มรื่นสวยงาม
            ที่ตั้ง ต.ตะโล๊ะกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี

         จุดเด่น หาดทรายทอดตัวยาวขนานไปกับทิวสนร่มรื่น มีสายน้ำพาคลื่นเคลื่อนมากระทบฝั่ง ในวันที่อากาศปลอดโปร่งน้ำทะเลจะมีสีคราม ทรายเป็นสีทองสวยงามมาก เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ หากเลยไปยังหมู่บ้านประมงจะมีเรือกอและจอดเรียงรายอยู่เป็นทิวแถว ซึ่งชาวบ้านแถบนี้จะพาเรือออกไปทำประมงแล้วนำกลับมา โดยจะลากขึ้นมาเก็บในช่วงเช้าๆ สถานที่พักแรม บริเวณชายหาดยังไม่มีจุดพักแรม

        การเดินทางจากตัวเมืองปัตตานี ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 42 ประมาณ 16 กม. จากนั้น จะมีแยกเข้าสู่ชายหาดอีกราว 3 กม. เป็นทางลาดยาง




ปัตตานีเป็นเมืองน่าอยู่ ปัตตานีเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นที่นิยมของผู้คนสำหรับการพักผ่อนในหาดทรายแห่งนั้นก็คือ ตะโละกาโปร์ หาดทรายแห่งนี้ตั้งที่จังหวัดปัตตานี ห่างจากตัวเมืองปัตตานีตามทางหลวงหมายเลข ๔๒ ระหว่างปัตตานีเป็นทางเดียวกับทางไปนราธิวาสวันหยุด

        เมื่อวันที่ ๖ ที่ผ่านมาฉันได้ไปเที่ยวที่หาดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีมีความสวยงามมากจนทำให้ฉันไปนั่งแล้วรู้สึก ไม่อยากกลับ พอนั่งไปนานๆ ก็จะได้ยินเสียงคลื่นสาดน้ำมากระทบชายฝั่งเบาๆ เหมือนเสียงกล่อมเด็กนอน ฟังคลื่นไปพลางชมหาดทรายสีขาวมีผู้คนเดินผ่านมาตามหาดทราย

        ฉันได้ไปเที่ยวกับครอบครัว ซึ่งมี พ่อ แม่ พี่ น้อง ได้ไปนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข บรรยากาศรอบๆนั้นเต็มไปด้วยทิวสนเรียงรายกันเป็นแถวตามริมถนน ไม่ใช่มีเพียงต้นสนเท่านั้น แต่ยังมีต้นมะพร้าวเต็มไปหมดสร้างความรมรื้นให้กับชายหาด ขณะเดียวกันนั้นมีคนมาตั้งวงกินข้าวข้างๆและฉันได้ถามคนที่มาพร้อมกับดิฉันอีกว่า ตอนที่เราเดินทางมามีใครเห็นลิงที่อยู่ข้างทางบ้าง หลังจากที่ฉันถามจบก็ได้ยินเสียงตอบรับว่าเห็นค่ะ และเขาก็ได้บอกอีกว่าลิงตัวนั้นน่ารักมากเลยค่ะ ตอนที่น้องเห็นเขาน้องได้โยนกล้วยให้เขาด้วย และลิงตัวนั้นก็ได้คาบกล้วยวิ่งขึ้นบนต้นไม้น้องดูแล้วรู้สึกมีความสุขมาก

        ตอนที่ฉันกำลังนั่งกินข้าวกับครอบครัว ฉันรู้สึกมีความสุขมาก ซึ่งเป็นความสุขที่ฉันไม่เคยได้จากครอบครัวมาก่อน วันนี้แหละที่ฉันมีความสุขที่สุด ทำให้ดิฉันกับครอบครัวของดิฉันเกิดความผูกพันมากขึ้น

        เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอยะหริ่งข้ามคลองยามูตามะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ ผ่านพื้นที่สวนป่าชายเลนและหมู่บ้านไปจนถึงทางแยกเข้าสู่หาดทรายระยะทางประมาณ ๑๘ กิโลเมตร และสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นหาดทรายที่ประกวดแหล่งท่องเที่ยว ๕จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ที ๒ ประเภทแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ประจำปี ๒๕๒๙ ซึ่งเป็นหาดทรายขาวสะอาดขนานกับชายฝั่งทะเล




            ดิฉันได้เข้าไปสัมภาษณ์คนที่ขายของตามหาดทราย ดิฉันได้ถามเขาว่า “คุณได้ขายของมานานแค่ไหนแล้ว” ประมาณ ๕-๖ ปีแล้ว ถ้าขายของเช่น ขายลูกชิ้นปลา หรือ กุ้ง ปู ก็ต้องเลือกที่สุดๆใหม่เพราะถ้าขายของที่ไม่สดจะทำให้คนที่มาซื้อไม่ค่อยสนใจหรือมาซื้อแค่ครั้งเดียวก็จะไม่มาซื้ออีก วิธีการเลือก ปู ปลา หรือ กุ้งนั้น จะต้องไปจองที่ท่าเรือ เพราะเขาเพิ่งไปเก็บกลับมาจากทะเล หรือไปรอ เพื่อเลือกเองก็ได้ ถ้าไปรอหรือไม่จองจะทำให้เราไม่ได้ของสดกลับมา เพราะมีผู้คนไปรอซื้อเพื่อที่นำเอาไปประกอบอาหารหรือขายต่อ ในการจัดเตรียมเพื่อจะทำไปขายก็ต้องมีลูกจ้างมาช่วยเตรียมทอดหรือจัดเตรียมใส่ในตู้ ส่วนค่าจ้างของลูกจ้างจะจ้างเป็นรายเดือนเพราะลูกจ้างจะไม่ชอบเอาค่าจ้างไปก่อนเพราะกลัวหมด บางที่ลูกจ้างจะมาทำงานไม่ครบวันก็จะจ่ายตามวันที่เขามาทำงาน ค่าจ้างก็วันละ ๑๐๐ บาท เพราะไม่ได้ทำอะไรมากแค่ทอด กุ้ง ปู เพราะกุ้ง กับ ปู จะชุบแป้งทอดส่วนลูกชิ้นจะย่าง ส่วนรายได้ในแต่ละวันก็ตกประมาณวันละ ๑,๐๐๐ บาท กำไร แต่บางวันได้ไม่ถึงพันก็มี เพราะบางวันมีผู้คนมาเที่ยวไม่ค่อยเยอะ ก็จะได้กำไรน้อย แต่ไม่เคยน้อยกว่าห้าร้อยบาท จะได้กำไรไม่ค่อยเยอะเพราะขายไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ ตกประมาณไม้ละ ๒ บาท ส่วน กุ้ง เนื้อปู ไม้ละ ๕-๗ บาท ถ้าพูดถึงสามมอย่างนี้อะไรขายดีกว่า ก็ต้องบอกเลยว่าเนื้อปูขายดีที่สุดเพราะเนื้อปูส่วนใหญ่จะเป็นของสด พอลูกค้ากินแล้วจะติดใจเพราะหวานมากเลย

            มีลูกค้าหลายคนชอบถามว่าวันนี้สดไหม และจะถามว่าเอาเนื้อปูสดมาจากไหน และทำน้ำจิ้มอย่างไรถึงจะอร่อย เนื้อปูที่จะสดนั้นทีแรกจะเอาปูที่เป็นตัวๆ นำมาต้มแล้วแกะออกมาเอาเนื้ออย่างเดี่ยว แล้วอามาทำเป็นก้อนๆ เอามาเสียบที่ไม้แล้วนำมาชุบแป้งแล้วก็ทอด

            ส่วนคนที่กวาดขยะแถวหาดทรายไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ผู้คนที่มาเที่ยวจะเก็บขยะที่ตัวเองกินนำไปใส่ถังขยะเอง ถ้าจะเหนื่อยก็จะเหนื่อยตอนที่ครูพานักเรียนชั้นประถมมาเที่ยว เพราะเด็กส่วนใหญ่จะกินแล้วไม่ทิ้งลงถังขยะ กินเสร็จที่ไหนก็จะทิ้งลงเลยไม่สนว่าใครจะมาว่าเขา พอถึงเวลากวาดก็จะเหนื่อยหน่อย ส่วนบริเวณนั้นเขาจะแบ่งไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้คนที่ดูแลความสะอาดของหาดทรายแห่งนี้ก็ประมาณ ๘-๑๐ คน บางคนก็ทำงานนี้มานานแล้ว แต่บางคนเพิ่งมาทำงานไม่กี่เดือนเอง ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงการกวาดขยะนั้นจะแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกก็จะเป็นช่วงเช้า ช่วงที่สองจะเป็นช่วงเย็นๆประมาณห้าโมงครึ่ง ค่าจ้างจะจ่ายเป็นรายเดือน ค่าจ้างไม่มากพอเลี้ยงครอบครัว





บรรยากาศในขณะสัมภาษณ์มีร่มบ้างมีแดดบ้าง เพราะตอนไปสัมภาษณ์ช่วงเวลาประมาณสิบโมงเช้า แต่วันนี้เป็นวันที่แดดไม่คอยออก ฟ้าครึ้มๆเพราะมีฝนตกในตอนเช้า ช่วงที่ฝนตกนั้นกำลังเดินทางเข้าสู่จังหวัดปัตตานี ทำให้ช่วงสัมภาษณ์นั้นมีอากาศที่ร่มเย็นสบาย เป็นบรรยากาศที่น่าชื่นชมมากมีคลื่นกระทบฝั่งเบาๆ ทำให้ง่วงนอนแต่ไม่เป็นไรเพราะมีเพื่อนคุย จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับบ้าน
            สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มีผู้คนต่างจังหวัดแวะมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ในปัจจุบันก็ยังมีคนมาเที่ยวแล้วก็นั่งมาพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานหรือคนในพื้นที่กลับจากการทำงานช่วงเย็นๆเวลาประมาณสี่โมงครึ่ง เพราะช่วงนั้นบรรยากาศที่หาดททรายเย็นสบายลมพัดต้นสนโยกไปโยกมาใบมะพร้าวก็ ปลิวไปปลิวมาอย่างสละสลวยเป็นต้นๆทำให้คนที่นั่งเพลินไปตามลมที่พัดมาเบาๆ และเป็นที่นิยมสำหรับชาวปัตตานีจะไปพักผ่อนในวันหยุดเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสถานที่ใกล้ตัวเมืองมากที่สุดบริเวณชายหาดมีร้านขายอาหารทะเลตั้งอยู่เรียงราย เหมาะสำหรับผู้คนที่แวะมาเที่ยว




            ขอให้ผู้คนที่ไม่เคยไปเที่ยวหาดตะโละกาโปร์แห่งนี้ลองไปนั่งและชมบรรยากาศอันสวยงามของหาดทราย โดยเฉพาะไปเที่ยวกับครอบครัวก็จะเห็นได้เลยว่าควรผูกพันอันแท้จริงนั้นอยู่ที่เราไปนั่นตั้งวงกินข้าวกันและปรึกษาซึ่งกันและกันจะทำให้เรามีความสุขมากกว่าตั้งงวงกินข้าวกันที่บ้าน เพราะที่หาดทรายมีอะไรหลายๆอย่างเพื่อให้เรากินข้าวพลางชมความสวยงามของหาดทรายพลาง จึงทำให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้นและเกิดความผูกพันกับครอบครัวอันแท้จริง



ที่มา : http://www2.pattani.go.th/web/index.php/2015-05-18-15-00-27/85-2015-05-19-08-52-45/102-2015-05-19-10-01-12.html