ประวัติมัสยิดกรือเซะ
![]() |
มัสยิดกรือเซะตั้งอยู่หมู่ที่ 3 บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลุโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ห่างจากตัวเมืองปัตตานีปัจจุบันไปทางทิศตะวันออกประมาณ |
ตามประวัติศาสตร์แล้ว มัสยิดกรือเซ๊ะ ไม่ได้ถูกสร้างโดยลิ้มโต๊ะเคียม เหมือนกับตำนานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ได้รับบอกเล่าต่อๆ กันมา หรือตามตำนานที่ได้ถูกเขียนในวารสาร อสท.ของ ททท.
มัสยิดหลังนี้ถูกสร้างในรัชสมัยของสุลต่านมุซ็อฟฟาร์ ชาห์ (Sultan Muzaffar Syah)หรือพระยาตานีศรีสุลต่าน พระราชบิดาของสุลต่านปาเต๊ะสยาม หรืออีกกระแสรายงานหนึ่งได้บันทึกไว้ว่า มัสยิดหลังนี้ถูกสร้างในรัฐสมัยของสุลต่านลองยูนุส ตามข้อมูลที่เขียนรวบรวมโดยนางสาว พัทรีย์ เจ๊ะเลาะ ผู้จัดทำเว็บไซด์แหล่งโบราณ มัสยิดกรือเซะ ที่ได้เขียนว่า หนังสือสยาเราะห์ปัตตานีของนายหะยีหวันหะซัน กล่าวว่า สุลต่านลองยูนุสเป็นผู้สร้าง ประมาณปีฮิจเราะห์ ๑๑๔๒ ตรงกับพุทธศักราช ๒๒๖๕ สมัยอยุธยาตอนปลาย
เหตุที่ก่อสร้างไม่เสร็จเนื่องจากเกิดสงครามแย่งชิงราชสมบัติระหว่างสุลต่านลองยูนุสกับระตูปะกาลัน ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์ หลังจากสุลต่านลองยูนุสสิ้นพระชนม์ ระตูปุยุดได้รับตำแหน่งสุลต่านเมืองตานีคนต่อมา
และได้ย้ายศูนย์การปกครองเมืองตานีไปตั้งอยู่ ณ บ้านปูยุด ปัจจุบันอยู่ในเขตท้องที่ตำบลปูยุด อ.เมืองปัตตานี บริเวณที่ตั้งวังของระตูปุยุดยังคงปรากฏเป็นร่องรอยกำแพงอยู่จนบัดนี้ มัสยิดจึงไม่มีผู้ใดคิดสร้างหรือต่อเติมหรือบูรณะขึ้นมาใหม่ยังคงทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าตั้งแต่นั้นมา
จนมีคณะของนายศรายุทธ์ สกุนาสันติศาสน์ ได้ลุกขึ้นประท้วงก่อม็อบเพื่อให้มีการใช้มัสยิดกรือเซะอีกครั้ง ทางการจึงเข้ามาดูแลและทำการบูรณะปรับปรุงขึ้นมาใหม่อย่างที่เห็นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ตามมัสยิดกรือเซ๊ะไม่ได้ถูกฟ้าผ่า เนื่องจากคำสาปแช่งของนางสาวลิ้มกอเหนี่ยวหรือลิมกอเนี๊ยะ ที่อ้างว่านางได้ผูกคอตายกับต้นมะม่วงหิมพานต์ริมชายหาดตันหยงลูโล๊ะ ตามตำนานที่ได้บอกกล่าวไว้ว่า
“เมื่อแม่นางแซ่ลิ้ม หรือลิ้มกอเนี๊ยะ ไม่สามารถโน้มน้าวหรือชักชวน ลิ้มเต้าเคี่ยม ,ลิ้มโต๊ะเคี่ยม หรือนายเคี่ยม แซ่ลิ้ม ผู้เป็นพี่ชายกลับเมืองจีนเพื่อไปดูแลแม่ที่กำลังแก่ชราได้
นางจึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ และได้ตัดสินใจผูกคอตายกับต้นมะม่วงหิมพานต์ (ยาโหง่ย,ยาร่วง,ยาหมู) พร้อมทั้งได้กล่าวอาฆาตพยาบาทต่อมัสยิดกรือเซะ ที่เป็นต้นเหตุให้พี่ชายไม่สามารถกลับเมืองจีนพร้อมกับนางได้ นางจึงได้ตั้งจิตอธิฐานและสาปแช่งมัสยิดนี้ว่า...
นางจึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ และได้ตัดสินใจผูกคอตายกับต้นมะม่วงหิมพานต์ (ยาโหง่ย,ยาร่วง,ยาหมู) พร้อมทั้งได้กล่าวอาฆาตพยาบาทต่อมัสยิดกรือเซะ ที่เป็นต้นเหตุให้พี่ชายไม่สามารถกลับเมืองจีนพร้อมกับนางได้ นางจึงได้ตั้งจิตอธิฐานและสาปแช่งมัสยิดนี้ว่า...
ขอให้มัสยิดหลังนี้มีอันเป็นไปในทุกๆ ครั้งที่มีการก่อสร้างหรือสร้างเสร็จ จากนั้นก็ได้มีฟ้าคะนองพร้อมกับได้มีอสนีบาตฟาดลงบนโดมมัสยิดพังพินาศเสียหาย
ชาวมุสลิมต่างเกรงกลัวต่ออิทธิฤทธิ์แม่นางแซ่ลิ้ม หรือผีวิญญาณของโต๊ะกูแมะนางนี้ จึงไม่กล้าที่จะกลับมาสร้างต่อ และคราใดก็ตามที่ชาวมุสลิมคิดที่จะบูรณะมัสยิดหลังนี้ เมื่อทำการบูรณะเสร็จก็จะโดนฟ้าผ่าทุกครั้งไป จนทำให้ชาวมุสลิมไม่กล้าบูรณะมัสยิดหลังนี้ต่อไปอีกเลย
มัสยิดกรือเซ๊ะ หรือมัสยิดปินตูกรือบัน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้ถูกฟ้าผ่าดั่งที่เรื่องราวของตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนียวบันทึกไว้ แต่โดนเผาเมื่อตอนที่สมัยกองทัพสยามได้เข้ามาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ แม่ทัพบางคนที่คุมทัพรัตนโกสินทร์ครั้งนั้น อย่างเช่นพระยากลาโหมเสนา(พระยาราชบังสัน) จ่าแสนยากร และพระยาจุฬาราชมนตรี ตลอดจนกองอาสาจามซึ่งเป็นทหารมุสลิมเสียใจต่อการกระทำครั้งนี้ของกองทัพของฝ่ายตนอย่างมาก แต่สงครามก็คือสงคราม ผู้ชนะย่อมต้องทำลายเมืองหรือศาสนสถานของอีกฝ่าย เพื่อไม่ให้สามารถตั้งตัวเป็นกลายเสี้ยนหนามแผ่นดินในอนาคตได้ กองทัพพม่าได้เคยกระทำต่อกรุงศรีอยุธยาฉันท์ใด กองทัพสยามก็ได้กระทำต่อปาตานีฉันท์นั้น เพราะนี่คือสงคราม
มัสยิดกรือเซ๊ะ หรือมัสยิดปินตูกรือบัน ได้ถูกกรมศิลปกรตีทะเบียนเป็นโบราณสถานและทำการบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘ และได้ทำการบูรณะอีกครั้ง ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ และในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ได้ทำการบูรณะอีกครั้งเนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ฯ
ลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือนายเคี่ยม แซ่ลิ้ม เป็นชาวจีนฮกเกี้ยน ได้เข้ามาในปัตตานี เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๑๑๙ ในสมัยแผ่นดินสุลต่านบาฮาดูร์ ชาห์ โดยได้นำเรือสำเภามาจอดเทียบท่าที่ท่าเทียบเรือตันหยงลูโล๊ะ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือหลิมเต้าเคียมได้อภิเษกสมรสเจ้าหญิงคนไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงฮิเยาว์ เจ้าหญิงบีรู อูงู หรือกูนิง เพราะฉะนั้นตามตำนาน(ที่ตำนาน-นาน) ได้เล่าต่อๆ กันมาว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้แต่งงานกับบุตรีของเจ้าเมืองปัตตานี น่าจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะในประวัติศาสตร์อิสลามปาตานี นับตั้งแต่พระยาอินทิราเข้ารับอิสลามมาจนถึงการปกครองของสุลต่านบาฮาดูร์ ชาห์ ซึ่งอยู่ในระหว่างปี พ.ศ.๒๐๔๒-๒๑๒๗ไม่ปรากฏว่าบุตรีของสุลต่านองค์ใดแต่งงานกับลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือหลิมเต้าเคียนเลย และมัสยิดกรือเซะไม่ได้ถูกสร้างในสมัยสุลต่านบาฮาดูร์ ชาห์ แต่สร้างได้ในรัชสมัยของสุลต่านมุซ็อฟฟารฺ ชาห์ หรือที่ชาวสยามรู้จักกันในนามพระยาตานีศรีสุลต่าน
และสิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ ศิลปกรรมของมัสยิดกรือ เป็นศิลปะแบบเปอร์เซีย หรือออตโตมัน ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตูโค้งหรือเมี๊ยะรอบ ล้วนแล้วแต่เป็นรูปทรงและศิลปะแบบเปอร์เซียทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจะสร้างมัสยิดหลังนี้ ตามที่ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเล่าแบบมั่วๆ ไร้ความรับผิดชอบต่อๆ กันมา
เพราะถ้าเราได้ไปดูมัสยิดในเมืองจีนที่สร้างเมื่อ ๔๐๐-๕๐๐ ปีที่แล้ว เราเห็นได้ว่า มัสยิดเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นทรงจีน(เหมือนวัดจีน)ทั้งสิ้น ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจะเอาศิลปกรรมแบบเปอร์เซียมาสร้างมัสยิดนี้ได้อย่างไร
อาจจะเป็นไปได้ว่า ลิ้มโต๊ะเคี่ยม อาจจะเข้ามาช่วยอาสาบูรณะมัสยิดภายหลังจากเกิดความเสียหายจากสงครามก็เป็นได้ อีกอย่างลิ้มโต๊ะเคี่ยมไม่ได้สมรสกับบุตรีของสุลต่านปัตตานีดั่งที่ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวว่ากล่าวไว้
แต่อาจจะสมรสกับเครือญาติของสุลต่านก็เป็นได้ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงเป็นผู้ที่อาสาต่อเติมมัสยิดให้เสร็จสิ้นและสิ่งที่น่าสังเกตก็คือในสมัยเจ้าหญิงฮิเยาว์ เจ้าหญิงบีรู เจ้าหญิงอูงู และเจ้าหญิงกูนิงครองเมืองปัตตานี ระหว่างปี พ.ศ.๒๑๒๗-๒๒๓๐ มัสยิดกรือเซะก็ยังไม่ถูกทำลาย มัสยิดกรือเซะยังคงถูกบันทึกว่าเป็นมัสยิดที่งดงามภายในมัสยิดมีลวดลายอันวิจิตร บนยอดโดมของมัสยิดกรือเซะหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์
อาจเป็นไปได้ว่าในสมัยราชินีฮิเยาว์ เคยเกิดสงครามครั้งหนึ่งที่ทำให้มัสยิดเสียหาย คือในปี พ.ศ. ๒๑๔๖ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ส่งกองทัพเรือเข้ามาตีเมืองปัตตานี โดยมีออกญาเดโชชัย เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเป็นผู้นำทัพ โดยยกพลมาขึ้นที่ปากอ่าวเมืองปัตตานีและบุกเข้าประชิดตัวเมือง ราชินีฮิเยาว์ได้นำทหารหาญของเมืองปัตตานีออกมาต่อต้านกองทัพอยุธยาอย่างเต็มกำลังสามารถ โดยใช้ปืนใหญ่ออกมายิงต่อสู้จนกองทัพสยามต้องล่าถอยทัพกลับไปในที่สุด
และในศึกสงครามครั้งนี้ทำให้มัสยิดกรือเซะหรือมัสยิดปินตูกรือบังเสียหาย ลิ้มโต๊ะเคี่ยมซึ่งรับราชการอยู่จึงรับอาสาช่วยบูรณะซ่อมแซมมัสยิดกรือเซะ และเป็นเวลาเดียวกับที่นางหรือนางสาวลิ้มกอเหนี่ยว คุณหนูแซ่ลิ้ม(สมัยนั้นยังไม่ได้รับฉายาเป็นเจ้าแม่) มาตามหาพี่ชาย แต่พี่ชายไม่ยอมกลับเพราะยังบูรณะมัสยิดไม่เสร็จ และอาจเป็นไปได้ว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมมีความตั้งใจแล้วว่าจะไม่กลับไปแผ่นดินจีนอีกเพราะ
1.ต้องการบูรณะมัสยิดให้เสร็จ
2.ต้องต้องการที่จะตั้งรกรากใหม่ที่นี่เพราะมีลูกมีเมียแล้ว
3.เพราะตนเข้ารับอิสลามและเป็นมุสลิม
4.หนีอาญาแผ่นดิน เพราะมีการกล่าวกันว่า ลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือลิ้มเต้าเคี่ยมเคยเป็นโจรสลัด
นางสาวลิ้มกอเหนี่ยว แม่นางลิ้ม หรือคุณหนูแซ่ลิ้ม เมื่อได้รับการปฏิเสธจากพี่ชายก็เลยเสียใจ เพราะนางได้รับปากกับทางบ้านแล้วว่าจะนำพาพี่ชายไปยังบ้านเกิดให้จงได้ ไม่ว่าพี่ชายจะอธิบายเหตุผลและความจำเป็นของภารกิจอย่างไรก็ตาม ลิ้มกอเหนี่ยวก็ไม่ยอมฟัง
เมื่อไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจพี่ชายให้คล้อยตามนางได้ นางจึงเสียใจเป็นที่สุดเพราะ เนื่องจากนางไม่สามารถบากหน้ากลับบ้านไปหาแม่ได้โดยปราศจากพี่ชายได้
จึงได้ตัดสินใจผูกคอตายโดยใช้ผ้าหรือเชือกผูกกับต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ริมชายหาดตันหยงลูโละ ส่วนนางจะสาปแช่งให้ฟ้าผ่ามัสยิดหรือไม่นั้น เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าหากนางสาปแช่งมัสยิดกรือเซะจริง แล้วใครเป็นคนได้ยิน
แล้วหากมีคนได้ยินตอนที่นางสาปแช่ง ทำไมไม่ช่วยกันห้าม การผูกคอตายครั้งนี้เป็นไปเพราะน้อยใจพี่ชายเท่านั้น หรือหากนางอาฆาตพยาบาทต่อมัสยิดกรือเซะ ก็คงไม่ใช่เพราะแรงอาฆาตพยาบาทหรือแรงอธิษฐานของนางหรอกที่ดลบันดาลให้ฟ้าผ่ามัสยิดกรือเซะ หรือหากมีฟ้าผ่ามัสยิดกรือบ้างก็เพียงเพราะเหตุที่โดมสัมยิดกรือหุ้มด้วยทองคำต่างหากเพราะมัสยิดกรือเซะในสมัยนั้นไม่มีสายล่อฟ้า
ในความเป็นจริงมัสยิดกรือเซะก็ไม่ได้เสียหายเพราะถูกฟ้าผ่า และเป็นเรื่องที่โกหกหลอกลวงอย่างหน้าด้านๆ มากที่จะบอกว่า...มีใครได้ยินคำอธิษฐานของนาง เพราะคำอธิษฐานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในใจ ไม่มีอักษรหรือสำเนียง
ผู้ชนะย่อมสามารถเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาเองได้ แต่การจะเขียนว่า
“มัสยิดกรือเซะโดนนางสาวหรือนางลิ้มกอเหนี่ยว สาปแช่งไว้จนถูกฟ้าผ่านั้น”
มันขัดกับความจริงที่เกิดขึ้น
“จึงอุปโลกน์ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวขึ้นมาเพราะต้องการปกปิดความจริงบางอย่าง”
ขอบคุณรูปภาพ FB : อัด Teaoor
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น