วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

วังยะหริ่ง

วังยะหริ่ง ความหลังของเมืองปัตตานี ดีใจที่ได้มาเยือน


วังยะหริ่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี  เป็นวังเก่ายะหริ่งถูกสร้างขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ในรัชสมัยของราชการที่ ๕  สร้างขึ้นโดยพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม เจ้าประเทศราชเมืองยะหริ่ง อันดับ ๓


       
         ซึ่งเป็นบุตรของพระยาพิบูลเสนานุกิจพิเชษฐ์ภักดี พระยาเมืองยะหริ่งอันดับที่ ๒ และพระยาเมืองอันดับแรกคือ "ท่านนิโซ๊ะ”หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "โต๊ะกี”

          ลักษณะรูปทรงของวังเป็นอาคาร ๒ ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้  แบบเรือนไทยมุสลิมผสมกับแบบบ้านแถบยุโรป ตัววังเป็นรูปตัวยู (U) ชั้นบนภายในอาคาร จัดเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ด้านข้างของตัวอาคารทั้ง ๒ ด้าน เป็นห้องสำหรับพักผ่อนของเจ้าเมืองและบุตรธิดาข้างละ ๔ ห้อง ชั้นล่างเป็นลานโล่งแบบใต้ถุนบ้าน
          ลักษณะเด่นของบ้านคือ บันไดโค้งแบบยุโรป ช่องแสงประดับด้วยกระจกสีเขียว แดง และน้ำเงิน ช่องระบายอากาศและหน้าจั่วทำด้วยไม้ ฉลุเป็นลวดลายพรรณพฤกษา ตาม แบบศิลปะชวา และผสมผสานกับศิลปะแบบตะวันตก ทำให้ตัววังมีสง่างามมาก


          ในปัจจุบันวังยะหริ่งได้รับ การดูแลจากเจ้าของวังเป็นอย่างดี โดยมีการบูรณะครั้งหลังสุดเป็นปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ภายในตัววังยะหริ่ง นอกจากจะมีเอกลักษณ์ทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานอย่างลงตัวแล้ว ยังเต็มไปด้วยหลักฐานและเรื่องราวที่ประวัติศาสตร์มากมายที่บรรพชนได้เก็บและรวบรวมเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และศึกษาความเป็นมาของเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เครื่องโถ ถ้วยชาม ภาพเขียน ภาพถ่ายประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีและเมืองยะหริ่ง ที่นับวันจะยิ่งหาชมได้ยาก


          วังแห่งนี้มีอายุยาวนานนับร้อยปี แต่วัตถุและหลักฐานของเรื่องราวตั้งแต่ยุคคุณทวดทุกอย่างยังถูกรวบรวมและจัดวางไว้เหมือนกับในอดีตทุกกระเบียดนิ้ว ทำให้ผู้คนที่นี่ยังรู้สึกว่าวังยะหริ่งไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้เวลาจะเปลี่ยนผ่านไปนานสักแค่ไหนก็ตาม ภาพเขียนสีน้ำมันของบรรพบุรุษต้นตระกูลเจ้าเมืองยะหริ่งถูกเก็บและแขวนไว้อย่างดีบนชั้นสองของตัววัง วังยะหริ่ง สร้างประมาณ พ.ศ.๒๔๓๘ ตอนปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โดยผู้สร้างคือพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรคาม เจ้าประเทศราชเมืองยะหริ่ง อันดับ ๓ ซึ่งเป็นบุตรของพระยาพิบูลเสนานุกิจพิเชษฐ์ภักดี พระยาเมืองยะหริ่งอันดับที่ ๒ และพระยาเมืองอันดับแรกคือ "ท่านนิโซ๊ะ”หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "โต๊ะกี” ยะหริ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองปัตตานีซึ่งเป็นประเทศราชของไทย ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการด้วย "ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง”ให้แก่ไทย ๓ ปีต่อ ๑ ครั้ง ต้องส่งทหาร(กองทัพ)ไปช่วยรบ

          รูปแบบการปกครองดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองปัตตานีกับไทย เป็นไปอย่างห่างเหิน เนื่องจากความห่างไกลจากราชธานี ประกอบกับความเข้มแข็งทางการเมืองและเศรษฐกิจส่งผลให้เจ้าเมืองต่างๆ คิดแยกตัวจากไทยอยู่เสมอ จึงมีการส่งกำลังจากพระนครลงมาปราบปรามอยู่หลายครั้ง กระทั่งนำไปสู่การใช้นโยบายแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง

           เริ่มจากท่านนิโซ๊ะ หรือโต๊ะกียูโซ๊ะ ซึ่งเป็นพระยายะหริ่งคนที่ ๑ มีประวัติเล่าต่อกันมาว่าเมื่อเกิดกบฏที่ปัตตานี ท่านนิโซ๊ะมีอายุเพียง ๖ ขวบได้วิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็กในค่ายทหารที่มาตั้งฐานเพื่อปราบกบฏจึงเกิดความสนใจในการรบทัพจับศึกและได้แอบติดตามคณะกลับพระนคร และได้รับการอุปถัมภ์จากนายทหารท่านหนึ่งจนเมื่อเติบใหญ่มีโอกาสได้รับราชการอยู่ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

          กระทั่งเมื่อเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หัวเมืองปักษ์ใต้เกิดความวุ่นวาย และมีการสืบทราบว่า "ท่านนิโซ๊ะ”มีเชื้อสายพระยาเมืองปัตตานี พระนครจึงแต่งตั้งให้รับสัญญาบัตรเป็น "พระยาเมืองยะหริ่ง” เมื่อมาปกครองเมืองได้พยายามจัดระเบียบในการปกครองให้เป็นแบบไทย เช่นคดีถ้อยความที่ต้องตัดสินหรือปรับไหม โดยให้สอดคล้องตามคัมภีร์อัลกุรอ่านและเป็นไปตามพระราชกำหนดกฎหมายไทย


          จนเป็นแบบอย่างให้เมืองปัตตานีและเมืองรามัน และถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ท่านนิโซ๊ะ มีบุตรธิดาด้วยกัน ๗ คน ปัจจุบันกุโบร์ (ที่ฝังศพ)อยู่ที่ตำบลตันหยงลูโละ บริเวณฝั่งตรงข้ามกับมัสยิดกรือเซะ พระยายะหริ่ง คนต่อมาคือท่านนิเมาะ เป็นบุตรคนที่ ๒ ของท่านนิโซ๊ะ ได้รับพระราชทานทินนามเป็น "พระยาพิบูลเสนานุกิจพิชิตเชษฐภักดี” ต้นตระกูล "อับดุลบุตร”มีบุตรธิดารวม ๑๔ คน เมื่อพระยาพิบูลเสนานุกิจพิชิตเชษฐภักดี ถึงแก่อสัญกรรม บุตรคนที่๒ คือ "ท่านนิโวะ”ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยายะหริ่งคนต่อมามีราชทินนามว่า "พระยาพิพิธเสนามมาตยาธิบดีศรีสุรคราม

          ซึ่งเป็นผู้สร้างวังยะหริ่งหลังปัจจุบัน ครั้นบ้านเมืองเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูปการปกครองให้เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ทำให้การปกครองแบบหัวเมืองสิ้นสุดลง เช่นเดียวกับตำแหน่งพระยาเมืองยะหริ่งที่สืบตระกูลกันมา หลังจากที่มีการปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล ส่วนกลางได้ส่งข้าหลวงเทศาภิบาลมาบริหารราชการแทนพระยาเมือง แต่ในวังยะหริ่งยังคงมีการสืบทอดทางอำนาจทางการเมืองดังเช่น ในสมัยพระพิพิธภักดี บุตรคนโตของพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรครามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ต่อมาได้ลาออกจากราชการแล้วสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดปัตตานี ผลปรากฏว่าได้รับเลือกรวมแล้ว ๔ สมัย


          "วังยะหริ่ง”เป็นที่รู้จักไปทั่วเมื่อครั้งถูกถ่ายทอดผ่านงานเขียนด้วยฝีมือของ "พนมเทียน” หรือ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ และมีโอกาสโลดแล่นผ่านบทละครทางโทรทัศน์ในเรื่อง "มัสยา”ซึ่งผู้ประพันธ์ได้แรงบันดาลใจและผูกโยงเค้าโครงเรื่องจากการได้สัมผัสกับสถานที่แห่งนี้ "ภาพวันที่นักเขียนนามพนมเทียนเดินทางมาที่วังแห่งนี้ เรายังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เดินตามชายหนุ่มสำรวจทุกมุมของวังอย่างพิศมัยก่อนจะนำทุกอย่างไปถ่ายทอดพร้อมกับสร้างตัวละครเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดในบ้านแห่งนี้ก่อนจะได้พบรักกับนายทหารหนุ่มจากพระนคร

          ใครที่เดินทางมายังวังยะหริ่งแห่งนี้จะเก็บภาพสถานที่อันงดงาม ไว้เป็นที่ระลึกในความทรงจำ เพื่อเก็บไว้ตราตรึงความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนตลอดไป

ที่มา : http://news.muslimthaipost.com/news/24784

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น